วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

การวางเป้าหมายและแผนชีวิต มหาวิทยาลัยชีวิต

ในภาคการศึกษานี้ (1/2554) ผมมีโอกาสได้เป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้วิชา "การวางเป้าหมายและแผนชีวิต" โครงการฝึกอบรมสัมฤทธิบัตร มหาวิทยาลัยชีวิต สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน เขาเรียกว่าอาจารย์พิเศษผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ ก็มีโอกาสได้จัดการเรียนรู้อยู่สองศูนย์การเรียนรู้ครับ ก็มีที่ ศรช.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ศูนย์นี้อาจได้สอนชั่วครั้งชั่วคราว เพราะมีอาจารย์ประจำวิชานี้อยู่แล้ว) ส่วนอีกศูนย์หนึ่งคือ ศรช.แม่วาง อ.แม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงครับ สำหรับเทอมนี้ เดี๋ยวภายหลังจากที่จัดกระบวนการเรียนรู้ไปสักสองสามครั้งจะ มาแสดงให้ดูว่า ผลงานเป็นยังไงบ้าง
แต่ตอนนี้ขอตั้งเป้าหมายของการจัดกระบวนการเรียนรู้ในภาคเรียนนี้ไว้ดังนี้
1. นักศึกษาสามารถจัดการชีวิตตนเองได้อย่างมีเหตุผล วางเป้าหมายชีวิต และแปลงสู่แผนปฏิบัติประจำวันได้อย่างเข้าใจ
2. นักศึกษาสามารถประยุกต์ การจัดการชีวิตตนเอง ไปยังการทำงานในระดับต่าง ๆ ได้ อย่างมีหลักการ
3. นักศึกษาสามารถบูรณาการการเรียนรู้จากวิชาอื่น ๆ อันได้แก่ กระบวนทัศน์พัฒนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียง ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (ในใจยังมีอีกสองวิชาที่ต้องมาบูรณาการคือ วิชาการจัดการตนเอง และวิชาคณิตศาสตร์เพื่อชีวิตประจำวัน)
ต้องคอยติดตามดูว่าจะเล่าเรื่องการจัดการบวนการเรียนรู้แล้วจะเป็นยังไงต่อ
(พอดี Create ไว้นานแล้ว ลืมเผยแพร่)

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Blu-Ray VS PMPs

เห็นชื่อหัวข้อ Blog นี้ก็งง ๆ เหมือนกัน .......แต่เป็นสิ่งที่น่าในใจ
ความเป็นมาของหัวข้อนี้ ...... ได้เป็นกรรมการตรวจรับงานนิทรรศการถาวร งานหนึ่่งมา
........ มีอาจารย์ที่เป็นกรรมการท่านหนึ่งถามขึ้นในที่ประชุมว่า ตอนนี้ผู้รับจ้างขอปรับเปลี่ยนจากเครื่องเล่น Blu-ray Disc มาเป็นเครื่องเล่นแบบ PMPs ที่ประชุมมีความเห็นว่าจะอนุญาตให้เขาเปลี่ยนได้หรือไม่ เพราะเหตุผลอะไร อธิบายได้หรือไม่
........ เพราะต้องยอมรับก่อนว่า การจัดจ้างนิทรรศการครั้งนี้ มีสิ่งแปลกอย่างหนึ่งคือ เราให้ผู้รับจ้างเป็นคนออกแบบ และเสนอราคาประมูล ว่ากรรมการตรวจรับยอมรับได้หรือไม่ โดย TOR มีเพียงไม่กี่ข้อ เช่นที่เห็นเด่นชัดคือ ต้องมีความเป็นล้านนา ต้องมีความเป็นสิ่งเดียวอันเดียว ไม่มีใครเหมือน ก็ได้รับข้อเสนอของบริษัทหนึ่งขึ้นมา
..........การทำงานก็เริ่มตั้งแต่ 5 กรกฎาคม เป็นต้นมา บริษัทก็เสนอมาทั้งศิลปะ ทั้งบทวิชาการ ทั้งรูปแบบนิทรรศการ แต่ก็สงสารอยู่อันหนึ่งคือ บริษัทต้องทำให้ทั้งหมดในทุกรูปแบบ กรรมการมีหน้าที่เพียงรับหรือไม่รับ ก็ล้มลุกคลุกคลานกันมาทั้งกรรมการตรวจรับ และบริษัทผู้รับจ้าง
..........ย้อนกลับมาที่ข้อคำถามของอาจารย์กรรมการท่านหนึ่งที่เอ่ยขึ้นมา แล้วที่ประชุมก็โยนมาที่ผม ให้ไปหาคำตอบมา แล้วก็จะอนุมัติให้บริษัทผู้รับจ้างดำเนินการต่อไป ก็ได้ข้อมูลมาเผื่อเป็นประโยชน์ต่อใครที่ต้องการทราบ โดยผมก็ได้พยามยามรวบรวมความรู้ที่มีอยู่เกี่ยวกับทั้งสองเทคโนโลยี และแหล่งอ้างอิง ที่มีผู้กล่าวไว้ ดังนี้


Blu-ray หนึ่งในตัวเลือกเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาแทน DVD (อ้างอิงจาก http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=116)
.......1-2 ปีที่ผ่านมาจะได้ยินเรื่อง Blu-ray บ่อยมาก จนเกิดการสงสัยว่ามันคืออะไร Blu-ray คืออะไร
Blu-ray หรือ Blu-ray Disc (BD) เป็นชื่อของเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่สำหรับออฟติคอลดิสก์ ที่ถูกผลักดันให้มาแทนมาตรฐาน DVD ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดย Blu-ray นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอรายละเอียดสูง high-definition video (HD) หรือใช้เก็บไฟล์ข้อมูลได้มากกว่า DVD หลายเท่าตัว ซึ่ง Blu-ray แบบ single-layer นั้นจะมีเนื้อที่เก็บข้อมูล 25GB ส่วนแบบ double-layer นั้นจะเก็บข้อมูลได้สูงถึง 50GB เลยทีเดียว โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์ต่างๆที่ถูกบันทึกลงแผ่นดิสก์ Blu-ray นั้นมีรายละเอียดต่างๆทั้งด้านภาพ และเสียงสูงกว่า DVD ขึ้นไปอีก ส่วนที่มาของชื่อ Blu-ray นั้นจะมาจากการที่ใช้แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์ แทนการใช้แสงเลเซอร์สีแดงเหมือนกับ DVD ซึ่งแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงนั้นจะมีความยาวของคลื่น 405nm ที่สั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดงที่มีความยาวคลื่น 650nm ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในแผ่นดิสก์ได้มากขึ้นในเนื้อที่เท่าเดิม โดยว่ากันคร่าวๆแล้ว Blu-ray จะสามารถเก็บวิดีโอความละเอียดสูงได้นานถึง 9ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และสามารถเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ใน DVD ปัจจุบันนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 23ชั่วโมงเลยทีเดียว รวมถึงบันทึกความละเอียดสูงด้วยมาตรฐานใหม่ๆได้ด้วย
ใครเป็นผู้พัฒนามาตรฐาน Blu-ray?
Blu-ray เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) กลุ่มสมาคมที่เป็นการรวมตัวระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า, บริษัทด้านไอทีรายยักษ์ รวมถึงสตูดิโอภาพยนตร์ และบริษัทในวงการอื่นๆ เช่น Apple Computer, Inc., Dell Inc., Hewlett Packard Company, Hitachi, Ltd., LG Electronics Inc., Matsushita Electric Industrial Co., Ltd., Mitsubishi Electric Corporation, Pioneer Corporation, Royal Philips Electronics, Samsung Electronics Co., Ltd., Sharp Corporation, Sony Corporation, TDK Corporation, Thomson Multimedia, Twentieth Century Fox, Walt Disney Pictures, Warner Bros. Entertainment ซึ่งแน่นอนบริษัทเหล่านี้จะร่วมกันผลักดันมาตรฐาน Blu-ray ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดแน่ๆเพื่อที่จะผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยี Blu-ray ออกมาจำหน่าย เช่น Sony ก็จะนำ Blu-ray ไปใช้กับเครื่องเล่นเกม PlayStation 3 ที่จะส่งออกจำหน่ายในเร็วๆนี้
นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆสำหรับ Blu-ray ครับแต่แน่นอน Blu-ray ไม่ใช่เป็นตัวเลือกของมาตรฐานใหม่ที่จะมาแทน DVD ในขณะนี้แน่ๆ มาตรฐานอีกมาตรฐานที่มีการส่งเข้าต่อสู้ในตลาดนั้นจะเป็น HD-DVD ที่พัฒนาโดย Toshiba และ NEC ซึ่งจะมีข้อดีกว่าตรงที่อุปกรณ์ต่างๆนั้นจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า Blu-ray แต่ก็จะมีความจุข้อมูลที่น้อยกว่าเช่นกัน เนื่องจากยังใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีแดงในการอ่าน และเขียนข้อมูลอยู่ ก็คงต้องรอดูกันสักพักว่าเทคโนโลยีของค่ายไหนที่จะมาแรงกว่ากัน และขึ้นแท่นแทน DVD ได้ในที่สุด
เครื่องเล่น Hard Disk MEDIA หรือ Hard Disk Player
Portable media player อุปกรณ์ที่ถูกเรียกว่าเป็น PMP ส่วนใหญ่จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. เป็นเครื่องพกพาที่เล่นได้หลากหลาย
2. สามารถ เล่นไฟล์ดิจิตอลได้หลายกหลาย เช่น image digital file, audio digital file, video digital File ยกตัวอย่างเช่น jpg, mpeg, divx, xvid, MP3, MP4, MP5, AVI หรือ wma ได้
3. สามารถ เล่นเพลงและแสดงรูปภาพได้
4. สามารถบันทึกภาพจากกล้อง โดยไม่ต้องต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ได้
5. มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลพวก Hard Disk
Wikipedia (http://en.wikipedia.org/wiki/Portable_media_player) ได้กล่าวถึงเครื่องเล่นสื่อแบบพกพา (PMP) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสามารถในการเก็บและการเล่นสื่อดิจิตอล เช่น เสียง ภาพวิดีโอ เอกสารและอื่น ๆ เป็นต้น Digital Audio Player (DAP) ที่สามารถแสดงภาพและวิดีโอเล่น เราจะเรียก PMPs อุปกรณ์ DAPs ประเภทนี้ข้อมูลปกติจะเก็บไว้ใน hard drive, micro drive, flash memoryหรือ Electronics Devices เช่นโทรศัพท์มือถือ Internet Tablets และ Digital Camera ซึ่งบางครั้งยังเรียกว่าเป็น PMPs Compatible เพราะความสามารถการเล่นได้เช่นเดียวกับอุปกรณ์ PMP
ปัจจุบันเทคโนโลยี PMP ก็ได้รับการพัฒนาไประดับหนึ่งและมีราคาที่ถูกลงเนื่องจากสื่อมีความจุมากขึ้นและมีราคาที่ถูกลง ปัจจุบันมีสินค้ามากหลากหลายให้เลือกในตลาด
ความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยี Blu-ray กับ PMPs
ความแตกต่างระหว่างสองเทคโนโลยีนี้เคยมีคนถามไว้ในเว็บไซต์ Pantip.com (อ้างอิงจาก http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=119273) มีผู้ให้คำแนะนำไว้ดังนี้
PMPs สามารถทำการดูหนังที่เป็นแบบ Full Rip เป็นอย่างมาก ได้ทั้งเสียง HD แล้วก็เพิ่มซับไทยได้ด้วยซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ดีกว่าเครื่องเล่นแผ่น BD ในส่วนของภาพเท่าที่เคยดู ถ้าราคาเครื่องเล่น BD ที่ราคาใกล้เคียงกับ DVICO ภาพมันก็ไม่ต่างกันมาก (DVICO สามารถ update Firmware ได้และออกมาใหม่เรื่อยๆ) และข้อเสียของเครื่องเล่นแผ่นเนี่ยมันก็คือแผ่นมันยังแพงอยู่ครับ ถ้าเล่น DVICO น่าจะคุ้มค่ามากกว่าแล้วรอให้แผ่นมันถูกกว่านี้
ขณะที่อีกท่านหนึ่งให้ความเห็นไว้ว่า
1. เทคโนโลยีทั้งสอง ใช้ media คนละประเภทกัน Dvico อ่านไฟล์ที่ริปมาจากแผ่น ข้อดีคือส่วนมากโหลดมาไม่ต้องซื้อ และก็อ่านไฟล์ได้หลายสกุล ข้อเสียคือต้องรอให้มีคนเอามาปล่อย
BD Player เล่นแผ่น ข้อดีคือบางครั้งไม่ต้องรอไฟล์ เจอก็ซื้อได้เลยหรือพอออกมาก็มีดูตั้งแต่วันแรกที่ออก ข้อเสียคือแผ่นมันยังแพงอยู่
2. คุณภาพของภาพที่ได้ Dvico เล่น Fullrip ได้ภาพดีเกือบเทียบเท่า BD Player (เคยเทียบแล้ว ภาพเล่นจากไฟล์ สู้เล่นจากแผ่น(US)ไม่ได้) ยิ่งถ้าเทียบกับ BD Player พวก Oppo BD83 หรือ Pioneex LX71/91
3. BD Player รองรับ BD Live และบางตัวมี Internal Decoder (True-HD/DTS-HD/MA) ด้วย แต่ Dvico ทำไม่ได้ ถ้าไม่ห่วงเรืองภาพว่าต้องเริดสุดๆ มี BD Player อีกหลายตัวที่เล่น MKV ไฟล์ได้ด้วย (Oppo ถูกจำกัดด้วย USB-FAT32 ทำให้รองรับได้ไม่สมบูรณ์

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิชา ความรู้พื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์เพื่อชีวิตประจำวัน (ปรับพื้นฐาน)

นักศึกษามหาวิทยาลัยชีวิต ศูนย์สุเทพ ที่ต้องการอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์เพื่อชีวิตประจำวัน ของอาจารย์ คลิก Link

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์ ให้ email หรือสอบถามผ่านบทความนี้ได้

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

การจัดการชุมชน กับความเป็นไปของชุมชน




สัมผัสประสบการณ์การจัดการชุมชนของกระบี่


หลังจากที่ได้เข้าไปรับรูปปรัชญาของมหาวิทยาลัยชีวิตมาระยะหนึ่ง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของผมในการไปพักผ่อนที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งไปสัมผัสชีวิตของชุมชนอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นชาวมุสลิม ในตำบลอ่างพระนาง จังหวัดกระบี่ ชาวบ้าน (จริง ๆ ) ไม่ใช่นายทุน เป็นคนพื้นเพ เท่าที่ได้สัมผัส ยังคงวิถีชีวิตของคนมุสลิมอยู่ แต่ความเจริญก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

แต่ก็โอเคที่ยังได้เห็นว่ามันเป็นสุสานหอยจริง ๆ


หลังจากนั้นช่วงตอนเย็น ๆ มาเดินเล่นที่อ่าวนาง หาดนพรัตน์ รู้สึกว่าด้านของอ่าวนาง ไม่ค่อยให้การต้อนรับคนไทยเราเท่าไร เหมือนไปเมืองนอกยังไงก็ไม่รู้ มีแต่ฝรั่ง (ทำให้นึกถึงพัทยายังไงก็ไม่รู้)

เสร็จแล้วมาทานข้าวที่ ครัวธารา (หลังสึนามิ) ...คนท้องถิ่นบอกว่าร้านนี้อร่อยที่สุด.....


รุ่งขึ้นไปเที่ยวทัวร์สี่เกาะ ไปดูทะเลแหวก .......ไม่ทัน เลยแหวกเองดังคนในรูป

กะว่าจะมาเล่นน้ำตามเกาะที่เขาพาเราไปเที่ยว ไม่ค่อยได้เล่นเลย เพราะคนพาเที่ยวดันเอาเรื่อสปีดโบ้ท เรือหางยาวนำเที่ยวมาจอดซะนี่.......เลยเป็นข้อคอมเมนท์ใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยวเลย ว่าที่กระบี่นี้นักท่องเทีี่ยวเล่นน้ำไม่ค่อยได้เพราะดันเอาเรือพานักท่องเที่ยวมาจอดปิดหาดหมด

จากประสบการณ์การเข้าสัมผัสมหาวิทยาลัยชีวิต ทำให้เราได้รู้ว่าการจัดการกับปัญหาที่เป็นแหล่งหากินเช่นชาวกระบี่นี้ ต้องทำกันทั้งระบบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ชาวบ้าน ต้องมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหา เพราะนี่เป็นแหล่งรายได้ที่จะเข้าสู่ชุมชน พัฒนาชุมชน ข้อคอมเมนท์อีกประการหนึ่งคือ บริเวณทางเดินอ่าวพระนาง น่าจะมีการกำจัดขยะที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการส่งกลิ่นเหม็นระดับนี้.


ผมเสียดายนะ ว่าอีกไม่นาน...กระบี่ไม่น่าจะต่างจากบางแสนมากนักหากไม่มีการแก้ปัญหาเหล่านี้

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คณิตศาสตร์เพื่อชีวิตประจำวัน

คณิตศาสตร์เพื่อชีวิตประจำวัน
นักศึกษามหาวิทยาลัยชีวิตศูนย์สุเทพทุกท่าน Load Slide ได้ที่นี่ .... Download
รายละเอียดของการเรียนเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 ตามได้ที่นี่ ....Link

นักศึกษามีอะไรแจ้งผ่านทางบทความนี้ได้

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มหาวิทยาลัยชีวิต ตอน 2

วันเสาร์ที่ผ่านมา.........ได้มีโอกาส ไปพบปะกับชาวบ้านกับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยชีวิตศูนย์สุเทพ .....ไม่น่าเชื่อ นักศึกษามหาวิทยาลัยชีวิต กลุ่มที่ไปกับผม shopping และเข้ากับชาวบ้านได้เร็วดี ......แต่จิง ๆ ก็เพราะเขาเหล่านั้นเป็นคนในพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ .........ไปถึงร้านแรก...
สถานที่แรก ......เป็นร้านค้าในหมู่บ้านเลย ........ก็สังเกตได้ว่าอาหารการกิน ส่วนใหญ่แม่ค้าเขาก็คงซื้อมาจากตลาดเพื่อมาขายต่อ เห็นแล้วก็.........น่าจะเป็นจุดที่ดีที่เดียวหากนักศึกษาได้สังเกตอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างละเอียดหน่อย เราพบว่าวิถีชีวิตของชาวบ้าน จากที่เป็นชาวบ้าน ปลูกผักปลูกไม้ หาของตามป่า ตามคันนา คันหนอง หายไป เป็นชีวิตที่ต้องรับจ้าง แล้วซื้อกิน ไร่นา ไม่มีตกเป็นของนายทุนเพื่อทำหมู่บ้านจัดสรรเป็นส่วนใหญ่
สภาพหมู่บ้านเริ่มจากทรายคำ.......บ้านเรือนเป็นบ้านชั้นเดียวเป็นส่วนใหญ่ อยู่ติดกันเป็นกลุ่มเครือญาติ.......ไปตามทางริมคลอง ก็พบว่าเป็นของนายทุนทำหมู่บ้านจัดสรร ไปซะแล้ว เดินทางจากบ้านทรายคำก็มาถึงหมู่บ้านช่างทอง ก็แถบนี้ก็ลักษณะเช่นเดียวกัน หมู่บ้านเริ่มแออัด ถนนเริ่มคับแคบ แม้วิถีชีวิตชาวบ้านจะยังคนเผาอิฐ ขายเป็นอาชีพหลัก แต่บ้านที่เราเข้าไปกันก็เป็นบ้านที่เป็นร้านค้าของชำ ของกินของชาวบ้าน ซึ่งก็มีลักษณะเช่นเดียวกับบ้านทราบคำที่แรก
มีสิ่งที่สงสัยอยู่อันหนึ่งคือคันคลองชลประทานซอยเล้ก ทางชลประทานไม่ยอมให้ทางเทศบาล ทำการเทลาดยางถนน ชาวบ้านยังคงใช้ทางที่เป็นลูกรัง........น่าคิด

หมู่บ้านที่สาม ที่ได้ไปพบมา ก็เป็นบ้านใหม่ห้วยทราย พบว่า หมู่บ้านนี้เจริญขึ้นมาก ผิดหูผิดตา จากเมื่อก่อน เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างไกล ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา (มีเพื่อนอยู่หมู่บ้านนี้) สอบถามทางเจ้าของบ้านที่ไปพบ ก็พบว่า หมู่่บ้านนี้มีข้าราชการที่ทำงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาจับจองซื้อที่ปลูกบ้านอยู่ก็มาก หลายครอบครัวมีฐานะดี เจ้าของบ้านเล่าว่าที่แถวนี้ไม่มีใบโฉนดนะ มีแต่ใบจอง อยู่กันไป แต่เขาก็บอกว่าทางป่าไม้ได้เข้ามาดูแล้ว และให้อยู่ต่อ

ไม่น่าเชื่อภายหลังจากที่เราพบปะกับชาวบ้านได้แล้วก็เดินทางมาตามทางเพื่อหาร้านอาหารทานอาหารกลางวันกัน ก็มานั่งพูดคุยกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งที่ร่ำเปิง สอบถามกลุ่มนักศึกษาที่อยู่ละแวกนั้นก็พบว่า บ้านแถวนี้ไม่มีโฉนดเลย เพราะเป็นที่จอง และอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ สุเทพ-ปุย

แสดงให้เห็นว่าละแวกนี้ทั้งหมด มีกลุ่มข้าราชการ นักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นส่วนใหญ่เข้าซื้อเพื่อจองสิทธิ์ในการอยู่อาศัย ก็ได้ทราบข่าวกันมานานพอสมควรแล้วละ ตั้งแต่หลังพระธาตุดอยคำแถว ๆ แม่เหี้ยะ เรื่อยมา ล้วนเป็นที่ซื้อสิทธิจากชาวบ้านทั้งนั้น

ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนจะเกิดเหตุแบบเขายายเที่ยง........5555
แต่ผมไม่โทษเขาหรอก เป็นเพราะภาครัฐเองที่ปล่อยปละละเลย หรือมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือเปล่า
เพราะไม่งั้นจะไม่มีเลขที่บ้าน ไม่สามารถขอน้ำ ขอไฟฟ้าเข้าใช้ได้
ก็คงคอยดูต่อไป

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

งานใหม่ ที่ไม่ใช่งานใหม่ แต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ

มหาวิทยาลัยชีวิต
ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานกับทางศูนย์การเรียนรู้ เทศบาลตำบลสุเทพ ในโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต..............
ตอนแรกตัวเองที่ได้รับเชิญจากท่านผอ.ศูนย์ฯ ก็งง ๆ เล็กน้อย แต่ก็ได้เดินทางไปร่วมสัมมนาที่โรงแรมแก่นอินน์ จังหวัดขอนแก่น เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์เพื่อชีวิตประจำวัน..........ดูแล้วเท่ไหมครับ
ขาเดินทางกลับ แทบเอาชีวิตไม่รอด......รถทัวร์ที่นั่งกลับ คนขับท่าจะมึน...ขับส่่ายไปมา.... ก็ได้ลุกเตือนให้เขาขับดี ๆ เขาท่าจะได้สติ แล้วก็ขับรถปกติขึ้น...............

เข้าเรื่องเลยดีกว่า หลังจากที่ได้เข้ารับการอบรมสัมมนามา ก็มาดูเนื้อหา........แล้วก็มาดูแนวการสอนในส่วนของมหาวิทยาลัยชีวิต พบว่า ในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยชีวิต ของท่าน ดร.เสรี พงศ์พิศ ท่านได้กล่าวไว้ในหลายส่วนที่น่าสนใจ แต่ในที่นี้ให้ท่านลองเข้าไปดูใน http://www.rulife.net/html/LIFElearningCenter.htm

ท่านจะได้อ่านสิ่งที่ ดร.เสรี ท่านได้มีแนวทางการดำเนินงาน

ผนวกกับความคิดที่ได้พูดคุยกับอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง ที่มีแนวคิดอุดมการณ์ทางการศึกษา อีแกนหนึ่งที่น่าสนใจ (ผมขอสงวนการเอ่ยนามท่าน) ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ท่าน ในลักษณะแบบเหตุการณ์พาไป เพราะเราคุยกันเรื่องการศึกษาของลูกผม
ขั้นต้นท่านก็ถามว่าลูกชอบอะไร จะเข้ามหาวิทยาลัยหรือยัง ประมาณนี้ ท่านก็บอกว่า อย่าบังคับเขานะ เพราะสิ่งที่เขาชอบเขาจะทำได้ดี แต่สิ่งที่เราชอบเขาอาจไม่ชอบนะ .......จริงของท่าน ชีวิตเป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา (อันนี้ผมคิดเอง) ท่านก็วกมาพูดคุยถึงเรื่องการศึกษาไทย ท่านมีแนวคิดหนึ่งว่าการศึกษาไทย ถูกปลูกฝังมาัจากนักการศึกษาบางกลุ่มที่เป็นตัวตั้งตัวตี ให้การศึกษาไทยมาในแนวทางนี้ ท่านบอกว่ามันค่อนข้างผิด เพราะเห็น ๆ อยู่ว่าบ้านเราผลิตนักเทคนิคในระดับปริญญาตรี มากเกินไป แต่ทำงานไม่ได้ต้องให้บริษัทผู้รับปริญญาตรีเข้าทำงาน ต้องมาฝึกอบรมใหม่

มันน่าหนักใจแทนประเทศไทย....ท่านก็บ่นอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกว่าเราทุกคนมีส่วนผิดหมดในระบบการศึกษา แม้แต่ตัวท่านเอง เพราะประเทศเราเรียนแต่วิชาการ ไม่ได้เรียนรู้จากวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ เราเรียนแต่การ Appllied ที่ Applied ไม่เป็น

ท่านยกตัวอย่างการจัดการศึกษาของโรงเรียนสาธิต ท่านบอกว่า โรงเรียนสาธิต เป็นโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ได้เป็นโรงเรียนสาธิตของคณะศึกษาอย่างเดียว การจัดการศึกษา ครู อาจารย์ที่นั่นน่าจะเป็นเพียงผู้ควบคุม นักเรียน บริหารกิจการโรงเรียนก็พอ แต่อาจารย์ผู้สอน ต้องมาจากสาขาที่เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัย เช่น คณิตศาสตร์ต้องมาจากคณิตศาสตร์ของคณะวิทยาศาสตร์ เคมี ก็มาจากเคมี ศิลปะ ก็ต้องมาจากวิจิตรศิลป์ เกษตร ก็ต้องมาจากคณะเกษตรศาสตร์ สังคมศึกษา ต้องมาจากคณะสังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ไทย จีน ฝรั่งเศส ต้องมาจากคณะมนุษยศาสตร์ เป็นต้น โดยที่อาจารยเหล่านี้ต้องเป็นผู้ที่สามารถถ่ายทอดการประยุกต์วิชาการสู่การเรียนรู้ของนักเรียน และทำให้นักเรียนสามารถนำไปสู่กระบวนการธรรมชาติ ให้ได้และสามารถมีแนวคิดในการต่อยอดสู่การประยุกต์ หรือบริสุทธิ์ ตามที่ตนเองถนัดได้

ท่านพูดอย่างนี้นะครับ ผมก็ คิดตาม.......งงบ้างเล็กน้อย แต่คิดไปติดตามมาก็เป็นว่าสิ่งที่ท่านคิดนะเกิดในประเทศอื่นแล้ว เช่น อเมริกา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เยอรมัน ........ทำให้ประเทศเจริญได้

ก็อดถามกลับท่านไม่ได้เหมือนกันว่า อาจารย์ว่าประเทศไหนที่ระบบการศึกษาดีที่สุด ท่านก็ตอบผมว่า อเมริกา เพราะอเมริกาสอนให้คนรู้จักใช้กับชีวิตได้ดี

สอนวิชาการให้คนที่อยากเรียนวิชาการ สอนเทคนิคให้กับคนที่จะทำงานด้านเทคนิค สอนในสิ่งที่ชอบให้กับคนที่อยากทำ .........

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดแบบนี้จะผิดถูกอย่างไร แต่สิ่งเหล่านี้เมื่อมาประสมกับแนวคิดของ ดร.เสรี ตามที่ผมได้เอ่ยข้างต้น ก็ทำให้เกิดความน่าสนใจขึ้นมา กับงานใหม่ ที่ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมา


ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อเข้าไปร่วมงานแล้วจะมีปัญหา อุปสรรค ประการใดเหมือนกัน แล้วค่อยมาว่ากันในเรื่องราวต่อไปก็แล้วกัน

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Healthy Care Plus By Thunjii ฉบับที่ 1 ตอนที่ 20


ถนอมสายตา เมื่อต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ คนทำงานยุคไอที ที่วันๆ ต้องนั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานกว่า 3 ชั่วโมง หลายคนจะมีอาการกล้ามเนื้อตาล้า เบลอ หรือรู้สึกปวดกระบอกตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล บางคนอาจจะมีต้อลมมาซ้ำเติม บางคนมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ร่วมด้วย นี่ยังไม่นับรวมอาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง คลื่นไส้ วิงเวียน อาการเหล่านี้แม้จะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็บั่นทอนคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานลงมากทีเดียว คุณอาจนึกไม่ถึงว่าผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ นัยน์ตาจะเคลื่อนไหวไปมาถึงประมาณ 30,000 ครั้งต่อวัน ดังนั้นผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ จึงควรถนอมสายตาให้ดี อาการที่นัยน์ตาถูกใช้งานอย่างหักโหม ได้แก่
  • การมองเห็นสี
หากลองมองไปที่อื่นหลังจากที่มองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จะรู้สึกว่าการมองเห็นสีนั้นยากขึ้น ปรากฏการณ์นี้เกิดจากปริมาณของสีเคมีพิเศษที่อยู่ในจอตาหรือจอรับภาพลดลง อย่างไรก็ตามนัยน์ตาก็จะสร้างสีให้เกิดใหม่ได้ในไม่ช้า หลังจากที่สีเคมีดังกล่าวหายไปชั่วขณะหนึ่ง
  • การมองเห็นภาพซ้อน
กล้ามเนื้อตาจะรวมภาพที่จุดๆ หนึ่ง แต่เหมือนกับมีบางสิ่งมาอยู่ใกล้ๆ กับจุดโฟกัสนั้น เมื่อเราพยายามมอง ก็จะทำให้เกิดเป็นภาพซ้อน ซึ่งมักพบได้บ่อยๆ การเห็นภาพซ้อนบางครั้งก็ไม่รู้สึกหรือไม่เกิดขึ้นโดยตรง แต่จะรู้สึกปวดหัวหรือเกิดอาการล้านัยน์ตา หากเห็นภาพซ้อนอยู่เรื่อยๆ ควรปรึกษาจักษุแพทย์
  • ปัญหาในการโฟกัส
หากกล้ามเนื้อตาต้องถูกใช้งานอย่างหนักโดยการทำงานซ้ำๆ เช่น เพื่อเลื่อนโฟกัสมองตามตัวอักษรที่พิมพ์ หรือกวาดสายตาตามตัวอักษรที่อ่านบนจอภาพ หรือการจ้องมองอยู่ที่โฟกัสเดิมเป็นเวลานานๆ ก็เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อตาเกิดอาการล้าหรือตึงเครียด และอาจทำให้สายตาหรือกล้ามเนื้อตาเสื่อมลง ทำให้ความสามารถในการกำหนดโฟกัสของสายตาแย่ไปด้วย
  • อาการปวดหัว
เมื่อต้องใช้สายตาอย่างหนักในการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์นานๆ อาจจะเกิดอาการปวดหัว พบมากที่บริเวณขมับ ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณคอและศีรษะเกิดความตึงเครียด อาการปวดหัวอาจไม่ได้เกิดจากความเมื่อยล้าของนัยน์ตาโดยตรง แต่เป็นผลข้างเคียงจากความพยายามจ้องมองในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม คนที่สายตาสั้นจะปวดหัวและมีอาการเมื่อยล้านัยน์ตาได้ง่าย วิธีการถนอมสายตาเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์
  1. ควรเลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบง่ายๆ ทำได้โดยลองปิดสวิตช์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด จอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว
  2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมทั้งความสว่างภายในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนจ้าลงบนจอคอมพิวเตอร์ หากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพมีความสว่างมาก ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง
  3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18-24 นิ้ว หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา หากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย
  4. การใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะช่วยลดการกระจายรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วแต่คุณภาพของสินค้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้
  5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนมากขึ้น
  6. การหยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ The National Institute of Occupational Safety and Health (NIOSH) แนะนำให้หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาทีทุกๆ 2 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็แนะนำว่าควรจะหยุดพักบ่อยๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เช่น พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตาหรือมองไปไกลๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป ก็จะช่วยถนอมสายตาได้
  7. อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือ ปิดไฟ นอนพักสักครู่ (ถ้าไม่มีปัญหากับหัวหน้างาน)
  8. สำหรับผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้
  9. ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน 10 วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก
  10. ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรตรวจเช็กสุขภาพตาบ้าง
นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทิ้งเรื่องเครียดๆ ไว้ที่ทำงาน ก็จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น หายเหนื่อยเมื่อยล้า พร้อมสู้งานในวันถัดไป
อ้างอิงจาก :: www.mindcyber.com

Healthy Care Plus By Thunjii ฉบับที่ 1 ตอนที่ 19






อาหารเลว..ที่ดีต่อสุขภาพ

.... ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ละก็ เชื่อว่าหลายๆคนคงกำลังหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนย นม และชีสอยู่เป็นแน่ แต่รู้ไหมว่าอาหารที่ได้ชื่อว่าเลวร้ายเหล่านี้ อันที่จริงกลับมีสารอาหารดีๆที่แฝงอยู่ อีกทั้งยังให้ประโยชน์มากกว่าโทษเป็นไหนๆ หากรู้จักเลือกรับประทานอย่างพอดี อาหารเหล่านี้มีอะไรบ้างนั้น ไปดูพร้อมกันเลย...

ชีส

....แน่นอน ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ในขณะเดียวกันมันยังเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม รวมทั้งกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี ทำให้คุณลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กรดชนิดนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนักด้วยการไปสกัดกั้นการกักเก็บไขมันในร่างกาย

.... ควรเลือก ชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด) ซึ่งคุณจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร

.... หลีกเลี่ยง ชีสประเภทไขมันต่ำเพราะชีสพวกนี้มีไขมันเพียง 6 กรัมต่อออนซ์ เมื่อนำไปปรุงอาหารแล้วจะไม่ได้รสชาติ เราจึงมักจะอนุญาตให้ตัวเองกินมันมากจนเกินไป

ช็อกโกแลต

....ลืมไปเลยที่ว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิว และไมเกรน ที่จริงมันมีส่วนผสมบาง อย่างที่ต่อต้านการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้ เว้นแต่ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณมองหาช็อกโกแลตในตอนที่หดหู่อยู่ก็ถูกต้องแล้ว เพราะมันจะเพิ่มสารชีโรโตนินในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้เลยล่ะ

... ควรเลือก ดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดมด้วยไขมันน้อยลง

....หลีกเลี่ยง ช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชแมลโลว และไขมันที่ทำให้อ้วนอื่น ๆ

เนื้อวัว

....พักการทานไก่ย่างชั่วคราวแล้วหันมากินสเต็กสักชิ้นเนื้อวัวเป็นแหล่งดีเลิศของโปรตีน และสารอาหารที่ผู้หญิงมักได้รับจากอย่างอื่นไม่เพียงพอ เช่น เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12

....ควรเลือก เนื้อท่อนโคนขา หรือเนื้อสะโพก ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อที่มีเนื้อมากกว่ามัน เพราะจะมีไขมันอิ่มตัวเพียง 4.5 กรัมหรือน้อยกว่า ต่อเนื้อน้ำหนัก 3 ออนซ์ ปรุงแบบหมุนย่าง ซึ่งจะทำให้เราเหลือเนื้อที่ในจานสำหรับใส่ผักได้มากขึ้น

....หลีกเลี่ยง เนื้อซี่โครง และทีโบนชั้นเลิศ เพราะมีไขมันและแคลอรีมากเป็นเท่าตัวของส่วนอื่น ๆ

กาแฟ

....ไม่จำเป็นต้องงดดื่มกาแฟหรอก การวิจัยเร็ว ๆ นี้ปฏิเสธว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง หากแต่คาเฟอีนช่วยบรรเทาอาการแพ้ ทำให้คุณกระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น

....ควรเลือก ให้ตัวเองดื่มกาแฟไม่เกิน 2 - 3 แก้วต่อวัน และอย่าใส่ครีมกับน้ำตาลให้มากนัก

....หลีกเลี่ยง กาแฟแก้วใหญ่พิเศษ ที่อุดมไปด้วยครีม น้ำตาล น้ำแร่ และวิปครีม ซึ่งให้แคลอรีมากถึง 300 แคลอรี

ถ้าทำได้ตามนี้ รับรองความอร่อยจะไม่มีโทษต่อร่างกายแน่ กินอย่างพอดีแบบมีลิมิต แล้วชีวิตจะยืนยาว...

อ้างอิง : หนังสือนิตยสารผู้หญิง


วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Healthy Care Plus By Thunjii ฉบับที่ 1 ตอนที่ 18



วิธีขจัดสิวเสี้ยนและลดหน้าท้อง
ขจัดสิวเสี้ยน!!!?ส่วนผสม
- ไข่ขาวขนาดเล็ก 1 ฟอง
- น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
- น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
- กระดาษซับมัน

วิธีทำ
นำไข่ขาว น้ำมะนาว และน้ำผึ้งมาผสมกัน ตีให้เข้ากัน จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง นำไข่ขาวที่เตรียมไว้มาทาบริเวณจมูก แล้วนำกระดาษซับมันมาแปะลงบริเวณที่ทาไข่ขาวไว้ ใช้นิ้วมือกดเบา ๆ ให้กระดาษซับมันกระชับผิว นอนราบกับพื้นรอจนไข่ขาวแห้งสนิท หน้าจะตึงมาก ๆ จากนั้นใช้มือลอกกระดาษซับมันจากล่างขึ้นบน สิวเสี้ยนก็จะติดออกมากับกระดาษซับมัน แล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เพื่อกระชับรูขุมขน ควรทำสัปดาห์ละครั้ง
อ้างอิงจาก :: http://campus.slb1.sanook.com/teen_zone/senior_02849.php

สูตรลดหน้าท้อง!!!?
ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหารตับม้ามให้ดูดซึมบกพร่องเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ วันนี้เรามีสูตรเด็ดเคล็ดลับในการกำจัดเจ้าไขมันกวนใจมาบอกกันค่ะ

ส่วนผสม
1. โยเกิร์ต ครึ่งถ้วย
2. นมสด 1 กล่อง
3. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
4. มะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ

วิธีการดื่ม
ต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น

สรรพคุณ
ไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงไปเรื่อยควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวัน

โทษของไขมัน
ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหารตับม้ามให้ดูดซึมบกพร่องเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ดังนี้
- ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
- ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
- ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
- ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้
ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย

อ้างอิงจาก :: http://campus.slb1.sanook.com/teen_zone/senior_01940.php